วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ไทยในความทรงจำของ "ตีแยรี วีโต" เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย


แม้เพิ่้งเดินทางเข้ามารับตำแหน่งเมื่อ 9 เดือนที่ผ่านมา แต่เอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ประจำประเทศไทย ผู้นี้ไม่เพียงมีความรู้ มีประสบการณ์หลากหลายในเอเชียเองเท่านั้น 

แต่ยังมีความทรงจำลึกซึ้งในหลายๆ ด้านเกี่ยวเนื่องกับเมืองไทยด้วย


คนที่เรากำลังพูดถึงคือชายสวมแว่น ร่างเล็ก ที่มักจะมีรอยยิ้มอย่างอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลานาม "ตีแยรี วีโต" 

นื่องในวันนี้ (14 กรกฎาคม) ตรงกับ "วันบาสตีย์ (Bastille Day)" หรือ "วันชาติฝรั่งเศส" ถือโอกาสพูดคุยกับท่านเอกอัครราชทูตคนใหม่ โดยทีมข่าว "มติชน" ได้รับการต้อนรับและสนทนาอย่างเป็นกันเอง ที่บ้านพักในสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ประจำประเทศไทย ถ.เจริญกรุง 

"ท่านทูตบอกว่า เดินทางมาถึงเมืองไทยเมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา หลังจากปฏิบัติหน้าที่เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำโมซัมบิกอยู่ 3 ปี"

โมซัมบิกเป็นประเทศทางตอนใต้ของแอฟริกา ซึ่งกลายเป็นหนึ่งใน 2 ประเทศ นอกเหนือภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่นักการทูตผู้นี้ปฏิบัติภารกิจ ส่วนอีกประเทศหนึ่งคือประเทศโปรตุเกส

คือยกเว้นการกลับเข้าประจำ ณ กระทรวงต่างประเทศ ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนแล้ว นอกเหนือจากนั้น ประเทศที่ท่านทูตเคยไปดำรงตำแหน่งหลากหลาย ล้วนแล้วแต่อยู่ภายในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกนี้ทั้งหมด ตั้งแต่ กรุงโซล เกาหลีใต้, กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น, ประเทศออสเตรเลีย
อย่างไรก็ตาม แม้ขณะปฏิบัติหน้าที่ในกระทรวงต่างประเทศ ที่กรุงปารีส ตีแยรี วีโต ก็ยังย้ำว่า งานส่วนใหญ่ยังคงเกี่ยวข้องกับเอเชีย เปิดโอกาสให้สามารถเดินทางไปยังประเทศต่างๆ มากมายหลากหลายในย่านนี้ 
ทำให้ได้พบเห็นการคลี่คลายของพัฒนาการในภูมิภาค ได้เป็นประจักษ์พยานพลวัตรอันรวดเร็วยิ่งของเอเชีย กระทั่งยังสามารถเทียบเคียงสิ่งที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ในเวลานี้กับวันเวลาเก่าก่อนในความทรงจำของตนเองได้อย่างแหลมคม
"ภูมิภาคนี้เปลี่ยนแปลงไปมากมายมหาศาลอย่างน่าอัศจรรย์เพราะการพัฒนา แน่นอนยังคงมีบางประเทศที่ระดับการพัฒนายังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับประเทศอย่างเกาหลีใต้หรือจีน กระนั้นก็ตามที นี่ก็ยังคงเป็นภูมิภาคที่มีพลวัตรสูงอย่างยิ่ง มีการพัฒนาไปไกลมากมาย แต่ในเวลาเดียวกันก็เผชิญกับปัญหาใหม่ๆ ในระดับมหึมาหลายๆ เรื่องพร้อมกันไปด้วย

"อย่างเช่นปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาสังคม ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาง่ายๆ ที่สามารถแก้ไขได้ชั่วข้ามคืน แต่ก็ไม่ได้บดบังข้อเท็จจริงที่ว่า ภูมิภาคนี้กำลังก้าวรุดหน้า เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเหลือเชื่อมากในความเห็นของผม" 


ตีแยรี วีโต สะท้อนความเห็นไว้อย่างน่าคิด กับประเทศต่างๆ และน่าสนใจเหล่านี้ รวมถึงประเทศไทยที่ท่านทูตได้เดินทางมาสานความสัมพันธ์ล่าสุด 

"มุมมองนักการทูตผู้โชกโชนประสบการณ์ผู้นี้น่ารับฟังเป็นอย่างยิ่ง"

- การพลิกโฉมหน้าของเอเชียในทรรศนะของท่านเป็นอย่างไร?

ตัวอย่างที่ผมอยากจะหยิบมาพูดถึงก็คือ เกาหลีใต้ ที่ตอนนี้มีภาพเป็นชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกประเทศหนึ่ง พัฒนาการสูงมาก รถราเต็มไปหมด อะไรก็ตามที่เป็นความสำเร็จในหลายๆ ประเทศ คุณสามารถเห็นได้ที่นี่ แต่เมื่อครั้งที่เราเดินทางมาจากญี่ปุ่น ตรงมาเลยในปี 1987 เราพบสิ่งที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ตอนนั้นเกาหลีใต้ยังคงเป็นประเทศกำลังพัฒนา แทบไม่ค่อยมีรถราบนท้องถนน จะมีให้เห็นก็เพียงแค่บรรดารถแท็กซี่ กับรถของเศรษฐี คนร่ำรวยมั่งคั่งทั้งหลายหรือไม่ก็รถของทางการ คนทั่้วไปในเวลานั้นไม่มีรถส่วนตัวกันหรอก ตอนนั้น ชุน ดูฮวาน ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี

ตอนมาถึงมีเคอร์ฟิว ประธานาธิบดีเป็นอดีตนายพลทหาร มีการชุมนุมประท้วงจากนิสิตนักศึกษา มีการยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุม เราพบกับความเข้มงวดทางการเมืองภายในประเทศอย่างยิ่งในเวลานั้น พูดได้ว่าการปกครองในเวลานั้นเป็นเผด็จการ

แต่เกาหลีที่เราได้เห็นกันในเวลานี้แตกต่างออกไปมากมายเหลือเกิน ประเทศนี้ทะยานขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ เป็นประชาธิปไตย เลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างเป็นประชาธิปไตยมาหลายคน ถึงตอนนี้ก็เลือกสุภาพสตรีเป็นผู้นำ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในระยะเวลาเพียง 25 ปี


- มหาอำนาจใหม่อย่างจีน?

ตอนที่เราอยู่ในญี่ปุ่น ปี 1985 มีเพื่อนคนหนึ่งซึ่งทำงานอยู่กับสถานทูตฝรั่งเศสในกรุงปักกิ่ง เราเลยอาศัยช่วงวันหยุดราวสัปดาห์หนึ่ง ยกครอบครัวพร้อมกับลูก 2 คน ที่มีในเวลานั้นเพื่อเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนของเราที่ปักกิ่ง นั่นเป็นช่วงเวลาเกือบ 30 ปีมาแล้ว ในปักกิ่งตอนนั้นไม่มีรถยนต์ น้อยยิ่งกว่าที่เกาหลีใต้เสียอีก ทุกคนต้องสวมสูทเหมา สีเทาหรือไม่ก็เขียวเข้ม สุภาพสตรีไม่มีสวมกระโปรงให้เห็น มีเพียงกางเกงขายาว ทุกที่ทุกทางเต็มไปด้วยจักรยาน มองไปเห็นเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านคัน ที่พบเห็นบ่อยพอๆ กันก็คือ ป้ายโปสเตอร์คำขวัญสดุดีเส้นทางและความสำเร็จของเหมา เจ๋อ ตุง

เรามีลูกสองคน คนที่สองน่ะผมบลอนด์ หยิกเป็นลอน ทุกครั้งที่เราออกไปเดินตามท้องถนน คนจีนจะเข้ามาหยิกแก้ม จับแก้มเขา ตอนนั้นจีนไม่ค่อยได้เจอะเจอคนต่างชาติกันมากมายนัก โดยเฉพาะจากตะวันตก จีนยังคงเป็นประเทศปิด พวกเขาเลยอยากเข้ามาจับต้องเพื่อดูว่านี่เป็นคนจริงๆ หรือตุ๊กตากันแน่ 

ผมกลับไปจีนอีกครั้งเมื่อปี 2004 กับ 2009 ผมบอกได้เลยว่า ปักกิ่งที่ผมได้ประจักษ์พร้อมๆ กับภรรยานั้น เป็นคนละเรื่องกันเลยกับปักกิ่งที่ผมเคยได้เห็นมาก่อนหน้านี้ มันเหมือนกับความเจริญรุ่งเรืองระเบิดตูมขึ้นมายังไงยังงั้น


- แล้วกับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นมหาอำนาจอยู่แล้วเปลี่ยนไปในทิศทางใด?

ผมว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เปลี่ยนแปลงน้อย น้อยกว่าหลายๆ ประเทศที่เคยสัมผัส เป็นเพราะตอนที่ผมไปประจำอยู่ที่นั่น ญี่ปุ่นก็เป็นประเทศที่พัฒนาอย่างยิ่งแล้ว เมื่อเรากลับไปอีกครั้งราว 20 ปีให้หลัง ประเทศนี้ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมตอนที่เราผละจากไป (อย่างหนึ่งอาจเป็นเพราะชาวญี่ปุ่นรักและอนุรักษ์วัฒนธรรม ประเพณีของพวกเขาสูงมาก ดังนั้น แม้เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ญี่ปุ่นก็ยังเปลี่ยนแปลงไปไม่มากมายนัก) ไม่เหมือนในจีน หรือในประเทศอื่นๆ

ผมไม่คิดว่าญี่ปุ่นเปลี่ยนแปลงไปมากเท่ากับประเทศอื่นๆ ที่รายล้อมอยู่โดยรอบ ไม่เปลี่ยนแปลงไปมากมายเหมือนการแต่งกายของคนจีนในเวลานี้ที่เต็มไปด้วยสีสันแตกต่างอย่างลิบลับกับสีสันแบบเหมาที่เคยเห็นกันเมื่อ 30 ปีก่อน แน่นอน เยาวชนคนรุ่นใหม่เปลี่ยนแปลงไปแน่ แต่นั่นเป็นปรากฏการณ์ร่วม ที่เกิดขึ้นกับทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วหรือกำลังพัฒนา เยาวชนคนหนุ่มคนสาวจะแตกต่างออกไปจากผู้คนรุ่นปู่รุ่นพ่อแม่ของตัวเอง ที่เป็นส่วนหนึ่งของโลกาภิวัตน์ที่เป็นกระแสไปทั้งโลก


-
ท่านทูตต้องรู้จักเมืองไทยมาก่อนหน้านี้แล้ว?

ภรรยาผมมักบอกว่า เราไม่รู้จักเมืองไทย (หัวเราะ) แต่บอกตามความจริง ผมกับภรรยาเคยมาที่นี่แล้วครับ นานมาแล้ว เมื่อครั้งที่เราประจำอยู่ที่เกาหลีใต้ ตอนที่เราประจำอยู่ในเกาหลีใต้และญี่ปุ่นในทศวรรษ 1980 นั้น เราไม่สามารถบินตรงจากกรุงปารีสมายังกรุงโซล หรือจากปารีสมาโตเกียวได้เหมือนอย่างทุกวันนี้ เราต้องบินไปอีกทาง แวะที่ไหนรู้ไหมครับ แองเคอเรจ (เมืองในรัฐอลาสกา สหรัฐอเมริกา) ตอนนั้นยังไม่มีรัสเซีย มีแต่สหภาพโซเวียต แล้วสหภาพโซเวียตก็ห้ามไม่ให้เครื่องบินพาณิชย์ของชาติตะวันตกบินผ่านเหนือน่านฟ้าของตนเอง 

เมื่อเป็นอย่างนั้น ถ้าหากเราจะบินไปโตเกียว หรือโซล จากยุโรป คุณต้องบินไปทางตะวันตก ไปยังแองเคอเรจ ที่เป็นดินแดนของสหรัฐอเมริกาผ่านแคนาดา แล้วถึงค่อยไปโซล หรือโตเกียว เป็นอย่างนี้มาจนกระทั่งถึงปี 1989 แอร์ฟรานซ์ ตัดสินใจเปิดเส้นทางการบินใหม่ตรงจากโตเกียวไปยังกรุงปารีส โดยแวะผ่านกรุงเทพฯ นั่นเป็นครั้งแรกที่แอร์ฟรานซ์ใช้เส้นทางบินลงใต้ แล้วก็มีเที่ยวบินนี้เพียงเที่ยวเดียวในหนึ่งสัปดาห์ 


- เป็นความบังเอิญจากการเดินทาง?

ถ้าหากคุณไม่อยากเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางมากนัก คุณก็ต้องแวะพักที่กรุงเทพฯ แต่ก็ต้องเสียเวลา 1 สัปดาห์ ผมกับภรรยา ตัดสินใจฉวยโอกาสนี้แวะพักที่กรุงเทพฯเสีย 1 สัปดาห์ ในขณะที่ลูกๆ และพี่เลี้่ยงบินต่อไปยังกรุงปารีส ผมกับภรรยาใช้เวลา 3 วันอยู่กรุงเทพฯแล้วบินต่อไปเชียงใหม่

กว่า 20 ปีหลังจากการแวะพักครั้งนั้น เรากลับมาที่นี่อีกครั้ง เราจำอะไรไม่ได้เลย อาจจะยกเว้นเพียงอย่างเดียวกระมัง นั่นคือพระบรมมหาราชวัง ที่ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ที่เหลือนอกจากนั้น เปลี่ยนแปลงไปหมด คลองไม่มีอีกแล้ว ไม่เหลือคลองให้เห็นมากมายนัก เราไปเชียงใหม่ ร่วมเทศกาลลอยกระทงเมื่อปีที่แล้ว เราถึงกับจำอะไรไม่ได้เหมือนกัน เพราะไทยเองก็เปลี่ยนแปลงไปมากเหมือนกันในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรุงเทพฯ ซึ่งกลายเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยพลวัตร เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ผมจำได้ว่าตอนปี 1989 เราไม่ได้เห็นทางด่วนมากมายขนาดนี้ ดูเหมือนจะมีแค่เส้นเดียวจากท่าอากาศยาน ผมจำได้ว่ามีคลองอยู่มากมาย ยังจำได้ว่ามีเรือนไทยเก่าแก่อยู่มากมาย มันเหมือนกับความฝัน เมืองที่สวยงาม แตกต่างไปจากในเวลานี้

นี่คือครั้งที่สองที่เราเดินทางมายังไทย ครั้งแรกเวลาเรามีจำกัดมากครับ


- ความรู้สึกที่มีต่อประเทศไทยในเวลานี้?

ถ้าถามว่า ผมรู้สึกอย่างไรกับเมืองไทยในเวลานี้ ผมคงต้องขอแยกเอากรุงเทพฯออกจากส่วนที่เหลือของประเทศไทย กรุงเทพฯเป็นเมืองใหญ่ เมืองสำคัญแห่งหนึ่งไม่เพียงแต่สำหรับไทยแต่สำหรับภูมิภาคเอเชียอีกด้วย เป็นเมืองอย่างที่ผมบอกไว้แล้วว่าคึกคัก มีชีวิตชีวา เป็นเมืองที่เจริญเติบโตเร็วมาก มีหลายๆ อย่างเป็นแม่เหล็กดึงดูด แต่ถ้าคุณได้ออกไปตามหัวเมืองต่างๆ สภาพการณ์จะแตกต่างกันออกไป 

เมื่อเร็วๆ นี้ ผมกับภรรยาใช้เวลาอยู่ 4 วันทางภาคอีสาน ตัวเมืองเหล่านั้นดูไปก็เหมือนๆ กันด้วยความเป็นเมือง แต่ถ้าคุณไปในแถบที่เป็นชนบท คุณก็จะได้สัมผัสกับความเป็นไทยที่แท้จริงที่นั่น ได้เห็นผู้คนที่อยู่กับไร่นา ทำนาข้าว ปลูกพืชพรรณต่างๆ

ในกรุงเทพฯผมไม่ได้พูดว่าที่นี่เหมือนกับเมืองใหญ่ในตะวันตก แต่ให้ความรู้สึกในทำนองเดียวกันกับโซล หรือเมืองใหญ่อื่นๆ ในเอเชีย ที่ต่างออกไป ก็คือ ที่นี่มีแผงลอย มีรถขายอาหาร ขายสินค้าที่ต่อรองราคากันได้ แตกต่างไปจากเมืองใหญ่อื่นๆ แม้แต่ในเอเชียด้วยกัน อย่างในเกาหลีใต้เวลาหน้าหนาว หนาวหนักหนาสาหัสมาก มีทั้งหิมะ ทั้งน้ำแข็ง ดังนั้น หน้าหนาวคุณถึงทำอะไรไม่ได้

แต่ที่นี่คุณมีรถเข็นขายอาหาร บริการอยู่ตลอดเวลา กรุงเทพฯอาจเหมือนกับโซลหรือโตเกียวอยู่บ้าง ในแง่ของความเป็นเมืองทันสมัยมากๆ โดยเฉพาะเมื่อมองจากแง่มุมทางธุรกิจ แต่ก็มีบุคลิกที่คุณหาไม่ได้ในเมืองใหญ่ที่ทันสมัยอื่นๆ แม้แต่ในเอเชีย


- ชอบลอยกระทงที่เชียงใหม่หรือไม่?

ผมสนุกกับเทศกาลสงกรานต์ที่นี่ อย่างลอยกระทงที่เชียงใหม่ เราไปร่วมงานเทศกาลพร้อมๆ กับปฏิบัติภารกิจร่วมกับชุมชนฝรั่งเศสในเชียงใหม่ไปด้วย เรามีชุมชนชาวฝรั่งเศสที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทยอยู่ที่นั่น ผมเลยอยากไปเยือนเชียงใหม่ เรามี "อลิอองซ์ ฟรองเซส์" (โรงเรียนสอนภาษาฝรั่งเศส) อยู่ที่นั่น เรามีศูนย์เพื่อการศึกษาวัฒนธรรมและอารยธรรมเอเชียอยู่ที่เชียงใหม่ ผมอยากไปเยี่ยมชมและพบปะกับคนที่ทำงานอยู่ที่นั่น พบกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่้นที่นั่น และได้รับคำแนะนำในช่วงเทศกาลลอยกระทง เพราะเป็นเทศกาลที่สนุกสนาน อลังการมาก ผมเลยมีโอกาสดีหลังจากที่เดินทางถึงเพียง 3 สัปดาห์ หลังจากเดินทางมาถึงเมืองไทย

ผมกับภรรยาชอบเทศกาลนี้มาก ท่านผู้ว่าฯเชื้่อเชิญเราลงเรือส่วนตัว ล่องไปตามลำน้ำสีชมพู พร้อมๆ กับคณะราวสิบคน เราถึงได้เห็นการลอยกระทงไม่เพียงแค่จากริมฝั่ง แต่ยังได้เห็นจากบนลำน้ำอีกต่างหาก ได้เห็นภาพรวมทั้งหมดของการลอยกระทง ได้ตระหนักว่าเทศกาลนี้สำคัญอย่างไร ทุกคนมีกระทงเป็นของตัวเอง ลอยล่องไปในน้ำ แล้วยังมีการจุดโคมลอย เกลื่อนไปทั่วท้องฟ้ากระจ่างใส เป็นพันๆ ดวงเลยทีเดียว

นั่้นเป็นการเดินทางที่มีทั้งประโยชน์และน่าสนใจอย่างมาก เป็นความสนุกที่น่าประทับใจกับสิ่งที่เป็นประเพณี เป็นไทยมากๆ ในไม่นานหลังจากที่เราเดินทางถึงเมืองไทย ถือเป็นการเริ่มต้นภารกิจในฐานะทูตที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว

- ร่องรอยแห่งวัฒนธรรมฝรั่งเศสในประเทศไทย?

เรามีประวัติศาสตร์ร่วมกับไทยมายาวนานมาก ย้อนหลังไปยาวนานเกือบ 400 ปีเลยทีเดียว เมื่อมีการแลกเปลี่ยนทางการทูตซึ่งกันและกันระหว่างราชสำนักของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กับราชสำนักแห่งพระบาทสมเด็จพระนารายณ์ฯ ก่อนหน้านั้นปี 1670 มีคณะมิชชันนารีจากฝรั่งเศสเดินทางมาถึงไทย หรือสยาม ในเวลานั้น เพื่อเผยแผ่ศาสนาคริสต์

ตัวอย่างของความสัมพันธ์ในห้วงเวลานั้น คือเมื่อครั้งเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เดินทางไปประจำยังฝรั่งเศส ท่านไปขึ้นเรือที่ท่าเรือทางตะวันตกของฝรั่งเศส เรียกว่าเบรสต์ ห่างจากกรุงปารีสราว 600 กิโลเมตร ไม่ใช่ไกลอย่างเดียวแต่เป็นเมืองที่ยากจนมากอีกด้วย คณะของเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) สร้างความประทับใจให้กับผู้คนในท้องถิ่้น ทั้งความยิ่งใหญ่ของขบวน ความอลังการของเครื่องแต่งกาย ถึงขนาดเปลี่ยนชื่อถนนหลักของเมืองนั้นเป็น "รูส์ เดอ สยาม" หรือ "ถนนสยาม" เพื่อเตือนชาวเมืองให้รำลึกถึงความประทับใจครั้งนั้น

นอกจากนั้นในกรุงปารีสยังมีถนนอีกหลายสายที่มีชื่อสยาม เพื่อเตือนให้รำลึกถึงประวัติศาสตร์ร่วมกันของเรา ในเมืองไทย ที่จังหวัดลพบุรี ซึ่งมีพระราชวังฤดูร้อนของสมเด็จพระนารายณ์ฯ ในปี 1687 เอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ที่ถูกส่งมาแลกเปลี่ยนการเดินทางไปประจำฝรั่งเศสของเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ก็มีสถานพำนักของเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสอยู่ที่นั่น (โชว์ภาพถ่าย) ที่จังหวัดลพบุรี ซึ่งผมยังไม่เคยไป นี่คือสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงการปรากฏอยู่ของฝรั่งเศสในเมืองไทย

เท่าที่ผมรู้ที่จันทบุรี ที่ย้อนหลังไปถึงปลายศตวรรษที่ 19 เมื่อครั้งที่ความสัมพันธ์ระหว่างฝรั่งเศสและสยามมีความยุ่งยากอยู่บ้าง ก็มีสถานที่ตั้งทางทหารของกองทัพฝรั่งเศสตั้งอยู่ในพื้นที่นี้ ดังนั้น ฝรั่งเศสจึงทิ้งร่องรอยในเชิงประวัติศาสตร์เอาไว้มาก

- ยังมีในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯด้วย?

ในกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระราชทานพื้นที่ส่วนหนึ่งให้เป็นสถานที่พำนักสำหรับเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ประจำประเทศไทย ซึ่งเป็นพระมหากรุณาธิคุณและตระหนักถึงนัยแห่งความสำคัญต่อความสำคัญของสถานที่แห่งนี้ ซึ่งถือเป็นมรดกและเป็นประวัติศาสตร์ร่วมของทั้งฝรั่งเศสและไทย ทุกวันที่ 15 กันยายน ซึ่งเป็นวันมรดกแห่งฝรั่งเศส ซึ่งในเวลานี้ขยายออกไปเป็นวันมรดกแห่งยุโรปไปแล้ว เราจะเปิดสถานที่แห่งนี้ให้ประชาชนชาวไทยได้เยี่ยมชม เช่นเดียวกับที่เราได้ดำเนินการแบบเดียวกันทั่วในฝรั่งเศสและยุโรป

นอกจากนั้น เมื่อปีที่แล้วผมยังโชคดีที่มีโอกาสได้ร่วมในงานเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 100 ปี ของอลิอองซ์ ฟรองเซส์ ในกรุงเทพฯ ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จฯไปทรงเป็นประธานในงานกาลาดินเนอร์ อีกด้วย


"เราพร้อมที่จะเก็บรักษา ทะนุบำรุง สถานที่สำคัญต่างๆ เหล่านี้เอาไว้ให้คงความเป็นมรดกแห่งประวัติศาสตร์ร่วมกันต่อไป"



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น